ความเป็นมาของ Walt Disney
ในตอนนั้น เมื่อไม่มีทั้งคาแรกเตอร์ของตนเอง วอล์ทก็ต้องคิดขึ้นมาใหม่ บนรถไฟขากลับจากนิวยอร์ค วอล์ทก็นึกไอเดียตัวละครใหม่ขึ้นมาได้ เป็นตัวละครมีลักษณะเป็นหนูที่มีหูกลมใหญ่และตั้งชื่อให้มันว่า มอร์ติเมอร์ ซึ่งภายหลังภรรยาของเขาก็เปลี่ยนชื่อให้ใหม่เป็น มิกกี้ เมาส์
มิกกี้ เมาส์ ปรากฎตัวครั้งแรกในการ์ตูนสั้นเรื่อง Plane Crazy เป็นการ์ตูนที่ไม่มีเสียงประกอบ แต่เรื่องนี้ไม่สามารถหาคนมาเป็นผู้สนับสนุนจัดจำหน่ายได้ ต่อมาวอล์ทก็ลองเอาตัวละครมิกกี้ไปเล่นในการ์ตูนอีกเรื่องหนึ่งที่มีเสียง ชื่อ Steamboat Willie โดยวอล์ทรับหน้าที่เป็นคนให้เสียงมิกกี้ เมาส์ด้วยตัวเอง และได้รับการสนับสนุนด้านเครื่องมือผลิตจากนักธุรกิจหนุ่มชื่อ แพท พาวเวอร์ส (Pat Powers) การ์ตูนเรื่องต่อๆ มาจึงมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นและได้รับผลตอบรับที่ดี
แต่เมื่อถึงปี 1930 วอล์ทรู้สึกว่าไม่ได้รับผลประโยชน์ที่เป็นธรรมจากแพท พาวเวอร์ส เขาจึงออกมาเซ็นสัญญากับบริษัทใหม่คือ โคลัมเบีย พิกเจอร์ส ไอเวิร์คสเริ่มเบื่อหน่ายกับความเจ้าอารมณ์ของวอล์ท ประกอบกับทางพาวเวอร์สก็ยื่นข้อเสนอให้เขาเปิดสตูดิโอเป็นของตัวเอง เขาจึงออกมาทำงานให้พาวเวอร์สแทน วอล์ทที่ไม่ได้มีความสามารถในการวาดรูปได้อย่างไอเวิร์คสจึงต้องรีบหาคนมาแทน (ไอเวิร์คเป็นคนวาดภาพส่วนใหญ่ที่ปรากฎในการ์ตูน และเขายังวาดได้เร็วถึง 700 ภาพต่อวัน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ไอเวิร์คสออกมาทำงานเองได้ไม่กี่ปี เขาก็ปิดสตูดิโอและกลับมาช่วยงานวอล์ทต่อ)
เมื่อวอล์ทหาคนมาแทนที่ไอเวิร์คสแล้ว ก็ดำเนินโครงการมิกกี้ เมาส์ต่อ ตัวละครหนูตัวนี้กลายเป็นตัวละครที่มีชื่อเสียงมาก และเมื่อถึงปี 1932 วอล์ทก็ได้รับรางวัลออสการ์ในฐานะผู้สร้างสรรค์ตัวละครนี้อีกด้วย ต่อมาก็ปรากฎเหล่าตัวละครอีกมากมาย ทั้งโดนัลด์ ดั๊ก กูฟฟี่ และพลูโต
ถึงแม้ว่าวอล์ทจะมีชื่อเสียงมากมายขนาดไหนก็ตาม เขาก็ยังคงความเป็นส่วนตัวไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ความต้องการที่ยิ่งใหญ่ของเขาคือการได้เป็นพ่อของลูก แต่เมื่อภรรยาของเขาแท้งลูกคนแรก วอล์ทก็แทบเสียสติจนหมอต้องบอกให้เขาพักงานและไปเที่ยวพักผ่อน พวกเขาไปเที่ยวกันที่วอชิงตัน ดีซี ต่อมาลิลเลียนก็ให้กำเนิดลูกสาวเป็นผลสำเร็จและตั้งชื่อให้ว่า ไดแอน แมรี่ ดีสนีย์ (Diane Marie Disney) สองปีหลังจากนั้นพวกเขาก็มีลูกสาวอีกคนหนึ่งคือ ชารอน เมย์ ดีสนีย์ (Sharon Mae Disney)
เมื่อเริ่มประสบความสำเร็จด้านการสร้างการ์ตูนซีรียส์ Silly Symphonies วอล์ทก็อยากลองสร้างการ์ตูนเรื่องยาวดูบ้าง ซึ่งภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องแรกของดีสนีย์ที่มีทั้งสีและเสียงก็คือเรื่องสโนไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด (Snow White and the Seven Dwarfs) อันที่จริงเหล่าผู้ร่วมงานของเขา รวมไปถึงรอยและลิลเลียน เมื่อทราบความคิดนี้แล้วก็พยายามห้ามไม่ให้มีการลงมือสร้างเพราะถึงแม้การ์ตูนซีรียส์ของวอล์ทจะเป็นที่รู้จักแพร่หลาย แต่ผลกำไรของบริษัทก็ยังน้อยอยู่ดี มีบางคนถึงกับกล่าวว่า การ์ตูนเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่สร้างความหายนะให้บริษัทอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายในปี 1938 เมื่อเรื่องนี้ได้ฉายรอบปฐมทัศน์จบ เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ กลายเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในช่วงปีนั้นและสร้างรายได้ไปมากกว่า 8 ล้านเหรียญทีเดียว
หลังจากนั้นวอล์ทก็ผลิตการ์ตูนเรื่องใหม่ๆ ออกมาอีก ทั้ง พินอคคิโอ (Pinocchio) และ แฟนตาเซีย (Fantasia) แต่สองเรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จด้านการตลาดนัก ดังนั้นจึงมีการสร้างเรื่องใหม่ออกมาอีกโดยใช้ทุนต่ำกว่าเดิมซึ่งก็คือเรื่อง Dumbo และหลังจากเรื่องดัมโบ้ได้วางจำหน่ายและเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป ประเทศสหรํฐก็เข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และสตูดิโอก็เริ่มสร้างเรื่อง Bambi
ทางกองทัพเซ็นสัญญาให้ดิสนีย์สตูดิโอผลิตผลงานออกมาในเชิงให้กำลังใจทหารโดยไม่มีค่าตอบแทนให้ ทำให้วอล์ทต้องนำสโนไวท์มาจำหน่ายใหม่เพื่อหารายได้ให้บริษัทมีทุนมากพอที่จะผลิตเรื่องต่อๆ ไป ได้แก่ อลิซในดินแดนมหัศจรรย์ (Alice in Wonderland) ปีเตอร์แพน (Peter Pan) และซินเดอเรลลา (Cinderella)
ต่อมาวอล์ทก็มีโครงการสร้างสวนสนุกในแคลิฟอร์เนียขึ้นมาโดยให้ชื่อว่า ดีสนีย์แลนด์ โดยความตั้งใจของเขาก็คือ การสร้างสวนสนุกขึ้นมาและให้มีรถไฟวิ่งอยู่รอบๆ เขาต้องใช้เวลากว่าห้าปีก่อนที่ดิสนีย์แลนด์จะออกมาเป็นรูปเป็นร่างและเปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1955
ปี 1964 วอล์ทก็ริเริ่มโครงการสร้างสวนสนุกที่ฟลอริดาซึ่งจะใหญ่โตมากกว่าที่แคลิฟอร์เนีย โดยสวนสนุกแห่งใหม่นี้ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 109 ตารางกิโลเมตรของรัฐฟลอริดา เขาและพี่ชายร่วมกันตั้งชื่อสถานที่แห่งนี้ว่า Disney World
ทว่าไม่กี่ปีก่อนที่ Disney World จะเปิดตัว วอล์ทก็ป่วยเป็นมะเร็งที่ปอดซ้ายซึ่งเป็นผลมาจากการที่เขาชอบสูบบุหรี่มาเป็นเวลานานเขารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเซนต์โจเซฟใกล้ๆ กับดิสนีย์สตูดิโอ และเสียชีวิตหลังจากผ่านวันครบรอบวันเกิดปีที่ 65 ของเขาไปเพียงสิบวันในวันที่ 15 ธันวาคม 1966 นั่นเอง พี่ชายของเขา รอย ก็สานต่ออุดมการณ์ต่างๆ ของวอล์ทจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1971 และไดแอน ลูกสาวของวอล์ท ก็เป็นผู้รับผิดชอบกิจการต่อ
มิกกี้ เมาส์ ปรากฎตัวครั้งแรกในการ์ตูนสั้นเรื่อง Plane Crazy เป็นการ์ตูนที่ไม่มีเสียงประกอบ แต่เรื่องนี้ไม่สามารถหาคนมาเป็นผู้สนับสนุนจัดจำหน่ายได้ ต่อมาวอล์ทก็ลองเอาตัวละครมิกกี้ไปเล่นในการ์ตูนอีกเรื่องหนึ่งที่มีเสียง ชื่อ Steamboat Willie โดยวอล์ทรับหน้าที่เป็นคนให้เสียงมิกกี้ เมาส์ด้วยตัวเอง และได้รับการสนับสนุนด้านเครื่องมือผลิตจากนักธุรกิจหนุ่มชื่อ แพท พาวเวอร์ส (Pat Powers) การ์ตูนเรื่องต่อๆ มาจึงมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นและได้รับผลตอบรับที่ดี
แต่เมื่อถึงปี 1930 วอล์ทรู้สึกว่าไม่ได้รับผลประโยชน์ที่เป็นธรรมจากแพท พาวเวอร์ส เขาจึงออกมาเซ็นสัญญากับบริษัทใหม่คือ โคลัมเบีย พิกเจอร์ส ไอเวิร์คสเริ่มเบื่อหน่ายกับความเจ้าอารมณ์ของวอล์ท ประกอบกับทางพาวเวอร์สก็ยื่นข้อเสนอให้เขาเปิดสตูดิโอเป็นของตัวเอง เขาจึงออกมาทำงานให้พาวเวอร์สแทน วอล์ทที่ไม่ได้มีความสามารถในการวาดรูปได้อย่างไอเวิร์คสจึงต้องรีบหาคนมาแทน (ไอเวิร์คเป็นคนวาดภาพส่วนใหญ่ที่ปรากฎในการ์ตูน และเขายังวาดได้เร็วถึง 700 ภาพต่อวัน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ไอเวิร์คสออกมาทำงานเองได้ไม่กี่ปี เขาก็ปิดสตูดิโอและกลับมาช่วยงานวอล์ทต่อ)
เมื่อวอล์ทหาคนมาแทนที่ไอเวิร์คสแล้ว ก็ดำเนินโครงการมิกกี้ เมาส์ต่อ ตัวละครหนูตัวนี้กลายเป็นตัวละครที่มีชื่อเสียงมาก และเมื่อถึงปี 1932 วอล์ทก็ได้รับรางวัลออสการ์ในฐานะผู้สร้างสรรค์ตัวละครนี้อีกด้วย ต่อมาก็ปรากฎเหล่าตัวละครอีกมากมาย ทั้งโดนัลด์ ดั๊ก กูฟฟี่ และพลูโต
ถึงแม้ว่าวอล์ทจะมีชื่อเสียงมากมายขนาดไหนก็ตาม เขาก็ยังคงความเป็นส่วนตัวไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ความต้องการที่ยิ่งใหญ่ของเขาคือการได้เป็นพ่อของลูก แต่เมื่อภรรยาของเขาแท้งลูกคนแรก วอล์ทก็แทบเสียสติจนหมอต้องบอกให้เขาพักงานและไปเที่ยวพักผ่อน พวกเขาไปเที่ยวกันที่วอชิงตัน ดีซี ต่อมาลิลเลียนก็ให้กำเนิดลูกสาวเป็นผลสำเร็จและตั้งชื่อให้ว่า ไดแอน แมรี่ ดีสนีย์ (Diane Marie Disney) สองปีหลังจากนั้นพวกเขาก็มีลูกสาวอีกคนหนึ่งคือ ชารอน เมย์ ดีสนีย์ (Sharon Mae Disney)
เมื่อเริ่มประสบความสำเร็จด้านการสร้างการ์ตูนซีรียส์ Silly Symphonies วอล์ทก็อยากลองสร้างการ์ตูนเรื่องยาวดูบ้าง ซึ่งภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องแรกของดีสนีย์ที่มีทั้งสีและเสียงก็คือเรื่องสโนไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด (Snow White and the Seven Dwarfs) อันที่จริงเหล่าผู้ร่วมงานของเขา รวมไปถึงรอยและลิลเลียน เมื่อทราบความคิดนี้แล้วก็พยายามห้ามไม่ให้มีการลงมือสร้างเพราะถึงแม้การ์ตูนซีรียส์ของวอล์ทจะเป็นที่รู้จักแพร่หลาย แต่ผลกำไรของบริษัทก็ยังน้อยอยู่ดี มีบางคนถึงกับกล่าวว่า การ์ตูนเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่สร้างความหายนะให้บริษัทอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายในปี 1938 เมื่อเรื่องนี้ได้ฉายรอบปฐมทัศน์จบ เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ กลายเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในช่วงปีนั้นและสร้างรายได้ไปมากกว่า 8 ล้านเหรียญทีเดียว
หลังจากนั้นวอล์ทก็ผลิตการ์ตูนเรื่องใหม่ๆ ออกมาอีก ทั้ง พินอคคิโอ (Pinocchio) และ แฟนตาเซีย (Fantasia) แต่สองเรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จด้านการตลาดนัก ดังนั้นจึงมีการสร้างเรื่องใหม่ออกมาอีกโดยใช้ทุนต่ำกว่าเดิมซึ่งก็คือเรื่อง Dumbo และหลังจากเรื่องดัมโบ้ได้วางจำหน่ายและเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป ประเทศสหรํฐก็เข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และสตูดิโอก็เริ่มสร้างเรื่อง Bambi
ทางกองทัพเซ็นสัญญาให้ดิสนีย์สตูดิโอผลิตผลงานออกมาในเชิงให้กำลังใจทหารโดยไม่มีค่าตอบแทนให้ ทำให้วอล์ทต้องนำสโนไวท์มาจำหน่ายใหม่เพื่อหารายได้ให้บริษัทมีทุนมากพอที่จะผลิตเรื่องต่อๆ ไป ได้แก่ อลิซในดินแดนมหัศจรรย์ (Alice in Wonderland) ปีเตอร์แพน (Peter Pan) และซินเดอเรลลา (Cinderella)
ต่อมาวอล์ทก็มีโครงการสร้างสวนสนุกในแคลิฟอร์เนียขึ้นมาโดยให้ชื่อว่า ดีสนีย์แลนด์ โดยความตั้งใจของเขาก็คือ การสร้างสวนสนุกขึ้นมาและให้มีรถไฟวิ่งอยู่รอบๆ เขาต้องใช้เวลากว่าห้าปีก่อนที่ดิสนีย์แลนด์จะออกมาเป็นรูปเป็นร่างและเปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1955
ปี 1964 วอล์ทก็ริเริ่มโครงการสร้างสวนสนุกที่ฟลอริดาซึ่งจะใหญ่โตมากกว่าที่แคลิฟอร์เนีย โดยสวนสนุกแห่งใหม่นี้ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 109 ตารางกิโลเมตรของรัฐฟลอริดา เขาและพี่ชายร่วมกันตั้งชื่อสถานที่แห่งนี้ว่า Disney World
ทว่าไม่กี่ปีก่อนที่ Disney World จะเปิดตัว วอล์ทก็ป่วยเป็นมะเร็งที่ปอดซ้ายซึ่งเป็นผลมาจากการที่เขาชอบสูบบุหรี่มาเป็นเวลานานเขารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเซนต์โจเซฟใกล้ๆ กับดิสนีย์สตูดิโอ และเสียชีวิตหลังจากผ่านวันครบรอบวันเกิดปีที่ 65 ของเขาไปเพียงสิบวันในวันที่ 15 ธันวาคม 1966 นั่นเอง พี่ชายของเขา รอย ก็สานต่ออุดมการณ์ต่างๆ ของวอล์ทจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1971 และไดแอน ลูกสาวของวอล์ท ก็เป็นผู้รับผิดชอบกิจการต่อ
ปัจจุบันสวนสนุกดิสนีย์แลนด์มีอยู่ 5 แห่งทั่วโลก ได้แก่ ดิสนีย์แลนด์แคลิฟอร์เนีย ดิสนีย์เวริล์ดที่ฟลอริดา ยูโรดิสนีย์แลนด์ที่ฝรั่งเศส โตเกียวดิสนีย์แลนด์ประเทศญี่ปุ่น และล่าสุดก็คือ ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์
มิกกี้เมาส์ โดนัลด์ดั๊ก หมาพลูโต และผองเพื่อน เปิดม่านฉายความหลังของค่ายราชาการ์ตูน วอลต์ ดิสนีย์ ว่าก่อกำเนิดเมื่อ ค.ศ.1919 จากการประสานมือระหว่าง นายวอลต์ ดิสนีย์ กับนายเอ๊บ ไอเวอร์ก มีสำนักงานศิลปะเล็กๆ ณ เมืองเคนซัสซิตี้ รัฐแคนซัส ผลิตภาพยนตร์โฆษณาเป็นภาพวาดความยาวประมาณ 2 นาที สำหรับฉายตอนเริ่มต้นในโรงภาพยนตร์ท้องถิ่น และสร้างภาพยนตร์จากภาพวาดการ์ตูนชุด Laugh-O-Grams กับอีกชุดเป็นเทพนิยายยาว 7 นาที เรื่อง Alice in Cartoonland แต่ถูกผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ในนิวยอร์กฉ้อโกง
ทั้งคู่จึงเดินทางสู่ลอส แองเจอลิส เริ่มธุรกิจใหม่อีกครั้งโดยมี รอย ดิสนีย์ พี่ชายของวอลต์ นั่งเก้าอี้ผู้จัดการ โครงการหนังการ์ตูน Alice in Cartoonland ถูกสานต่อ พร้อมการแจ้งเกิดของตัวการ์ตูนตัวใหม่ "กระต่ายออสวอลด์" จัดจำหน่ายได้ถึงตอนละ 1,500 เหรียญสหรัฐ ซึ่งยามนั้นนับว่ามหาศาล ดิสนีย์และไอเวิกส์สามารถดำเนินธุรกิจเล็กๆ ของตนต่อไปได้ วันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ.1923 เป็นวันก่อตั้งบริษัทที่เปลี่ยนชื่อเดิมจาก "ดิสนีย์ บราเธอร์ส การ์ตูนสตูดิโอ" เป็น "วอลต์ ดิสนีย์สตูดิโอ" ตามคำแนะนำของพี่รอย
ฤกษ์งาม 16 ต.ค. ได้มาจากวันที่บริษัทเอ็มเจ วิงเลอร์ ตกลงยอมเป็นผู้จัดจำหน่ายการ์ตูนเรื่องใหม่ที่สร้างสรรค์จากวรรณกรรมเยาวชน Alice in Wonderland "วอลต์ ดิสนีย์สตูดิโอ" มีสำนักงานอยู่บนถนนคิงส์เวลล์ในฮอลลีวู้ด ก่อนเก็บเงินเก็บทองขยับขยายไปยังแห่งใหม่ที่สตูดิโอไฮเปอเรียน
ปี 1927 วอลต์ ดิสนีย์ พยายามเจรจาต่อรองเรื่องค่าตอบแทนภาพยนตร์การ์ตูนกระต่ายออสวอลด์ กับบริษัทจัดจำหน่าย เขาได้รู้ว่าฝ่ายหลังไม่ซื่อสัตย์โดยทำสัญญาว่าจ้างนักเขียนการ์ตูนของวอลต์ ดิสนีย์ เพื่อสร้างการ์ตูนออสวอลด์ขึ้นมาเอง บทเรียนครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ต้องสูญเสียตัวออสวอลด์ให้กับความไม่รู้สีสาของตน และไม่ซื่อของคนอื่น หลังจากเสียการ์ตูนตัวเด่น คือ กระต่ายออสวอลด์ไปแล้วก็เสียไป สร้างใหม่ก็ได้
บัดเดี๋ยวนั้น "หนู" ตัวหนึ่งก็เกิดขึ้น ด้วยความร่วมมือของไอเวอร์กผู้ควบตำแหน่งหัวหน้าทีมวาดการ์ตูนของเขา หนูชื่อ "มิกกี้ เมาส์" ได้คะแนนนิยมเป็นที่รักของผู้ชมทั่วโลก ต่อมา ดิสนีย์ออกตัวการ์ตูน "ซิลลี ซิมโฟนี" เพื่อให้เข้ากับชุดกับมิกกี้ เมาส์ ซิลลี ชิมโฟนีเป็นการ์ตูนสีตลอดเรื่องๆ แรกของโลก ได้รับรางวัลชนะเลิศจากงานประกวดการ์ตูนหลายเวที และนับจากนั้นตลอดทศวรรษ การ์ตูนของดิสนีย์ก็ไม่เคยพลาดรางวัลออสการ์แม้แต่ปีเดียว
ขณะที่หนังการ์ตูนได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ การผลิตสินค้าแปะโลโก้ตัวการ์ตูนออกจำหน่าย เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เพิ่มรายได้ให้กับบริษัท จึงมีสินค้าตัวการ์ตูนมิกกี้เม้าส์ออกมา หนังสือมิกกี้เมาส์เล่มแรกก็ได้รับการตีพิมพ์ในปีค.ศ.1930 พร้อมๆ กับการตีพิมพ์การ์ตูน มิกกี้ เมาส์ ในหนังสือพิมพ์เป็นครั้งแรก
13 ปีต่อมา วอลต์ ดีสนีย์ปรารภกับเหล่านักวาดการ์ตูนของเขาว่าอยากจะผลิตหนังการ์ตูนเรื่องยาวบ้าง ว่าแล้วก็เล่าเรื่อง สโนไวต์กับคนแคระทั้งเจ็ดให้เด็กโค่งทั้งหลายฟัง ทุกอย่างจึงได้เริ่มต้นขึ้น ด้วยระยะเวลานาน 3 ปี ที่ทีมงานทุ่มเท ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาว สโนไวต์ เสร็จสมบูรณ์ออกฉายในช่วงคริสต์มาสปี 1937 และเป็นเจ้าของสถิติภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุด ก่อนจะถูก วิมานลอย Gone with the wind สอยคะแนนไป
มิกกี้เมาส์ โดนัลด์ดั๊ก หมาพลูโต และผองเพื่อน เปิดม่านฉายความหลังของค่ายราชาการ์ตูน วอลต์ ดิสนีย์ ว่าก่อกำเนิดเมื่อ ค.ศ.1919 จากการประสานมือระหว่าง นายวอลต์ ดิสนีย์ กับนายเอ๊บ ไอเวอร์ก มีสำนักงานศิลปะเล็กๆ ณ เมืองเคนซัสซิตี้ รัฐแคนซัส ผลิตภาพยนตร์โฆษณาเป็นภาพวาดความยาวประมาณ 2 นาที สำหรับฉายตอนเริ่มต้นในโรงภาพยนตร์ท้องถิ่น และสร้างภาพยนตร์จากภาพวาดการ์ตูนชุด Laugh-O-Grams กับอีกชุดเป็นเทพนิยายยาว 7 นาที เรื่อง Alice in Cartoonland แต่ถูกผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ในนิวยอร์กฉ้อโกง
ทั้งคู่จึงเดินทางสู่ลอส แองเจอลิส เริ่มธุรกิจใหม่อีกครั้งโดยมี รอย ดิสนีย์ พี่ชายของวอลต์ นั่งเก้าอี้ผู้จัดการ โครงการหนังการ์ตูน Alice in Cartoonland ถูกสานต่อ พร้อมการแจ้งเกิดของตัวการ์ตูนตัวใหม่ "กระต่ายออสวอลด์" จัดจำหน่ายได้ถึงตอนละ 1,500 เหรียญสหรัฐ ซึ่งยามนั้นนับว่ามหาศาล ดิสนีย์และไอเวิกส์สามารถดำเนินธุรกิจเล็กๆ ของตนต่อไปได้ วันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ.1923 เป็นวันก่อตั้งบริษัทที่เปลี่ยนชื่อเดิมจาก "ดิสนีย์ บราเธอร์ส การ์ตูนสตูดิโอ" เป็น "วอลต์ ดิสนีย์สตูดิโอ" ตามคำแนะนำของพี่รอย
ฤกษ์งาม 16 ต.ค. ได้มาจากวันที่บริษัทเอ็มเจ วิงเลอร์ ตกลงยอมเป็นผู้จัดจำหน่ายการ์ตูนเรื่องใหม่ที่สร้างสรรค์จากวรรณกรรมเยาวชน Alice in Wonderland "วอลต์ ดิสนีย์สตูดิโอ" มีสำนักงานอยู่บนถนนคิงส์เวลล์ในฮอลลีวู้ด ก่อนเก็บเงินเก็บทองขยับขยายไปยังแห่งใหม่ที่สตูดิโอไฮเปอเรียน
ปี 1927 วอลต์ ดิสนีย์ พยายามเจรจาต่อรองเรื่องค่าตอบแทนภาพยนตร์การ์ตูนกระต่ายออสวอลด์ กับบริษัทจัดจำหน่าย เขาได้รู้ว่าฝ่ายหลังไม่ซื่อสัตย์โดยทำสัญญาว่าจ้างนักเขียนการ์ตูนของวอลต์ ดิสนีย์ เพื่อสร้างการ์ตูนออสวอลด์ขึ้นมาเอง บทเรียนครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ต้องสูญเสียตัวออสวอลด์ให้กับความไม่รู้สีสาของตน และไม่ซื่อของคนอื่น หลังจากเสียการ์ตูนตัวเด่น คือ กระต่ายออสวอลด์ไปแล้วก็เสียไป สร้างใหม่ก็ได้
บัดเดี๋ยวนั้น "หนู" ตัวหนึ่งก็เกิดขึ้น ด้วยความร่วมมือของไอเวอร์กผู้ควบตำแหน่งหัวหน้าทีมวาดการ์ตูนของเขา หนูชื่อ "มิกกี้ เมาส์" ได้คะแนนนิยมเป็นที่รักของผู้ชมทั่วโลก ต่อมา ดิสนีย์ออกตัวการ์ตูน "ซิลลี ซิมโฟนี" เพื่อให้เข้ากับชุดกับมิกกี้ เมาส์ ซิลลี ชิมโฟนีเป็นการ์ตูนสีตลอดเรื่องๆ แรกของโลก ได้รับรางวัลชนะเลิศจากงานประกวดการ์ตูนหลายเวที และนับจากนั้นตลอดทศวรรษ การ์ตูนของดิสนีย์ก็ไม่เคยพลาดรางวัลออสการ์แม้แต่ปีเดียว
ขณะที่หนังการ์ตูนได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ การผลิตสินค้าแปะโลโก้ตัวการ์ตูนออกจำหน่าย เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เพิ่มรายได้ให้กับบริษัท จึงมีสินค้าตัวการ์ตูนมิกกี้เม้าส์ออกมา หนังสือมิกกี้เมาส์เล่มแรกก็ได้รับการตีพิมพ์ในปีค.ศ.1930 พร้อมๆ กับการตีพิมพ์การ์ตูน มิกกี้ เมาส์ ในหนังสือพิมพ์เป็นครั้งแรก
13 ปีต่อมา วอลต์ ดีสนีย์ปรารภกับเหล่านักวาดการ์ตูนของเขาว่าอยากจะผลิตหนังการ์ตูนเรื่องยาวบ้าง ว่าแล้วก็เล่าเรื่อง สโนไวต์กับคนแคระทั้งเจ็ดให้เด็กโค่งทั้งหลายฟัง ทุกอย่างจึงได้เริ่มต้นขึ้น ด้วยระยะเวลานาน 3 ปี ที่ทีมงานทุ่มเท ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาว สโนไวต์ เสร็จสมบูรณ์ออกฉายในช่วงคริสต์มาสปี 1937 และเป็นเจ้าของสถิติภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุด ก่อนจะถูก วิมานลอย Gone with the wind สอยคะแนนไป