พ่อของวอล์ท ดีสนีย์
นายเอเลียส ดีสนีย์ (Elias Disney) ซึ่งก็คือพ่อของวอล์ท ดีสนีย์ ได้ย้ายถิ่นฐานจากประเทศเเคนาดามายังสหรัฐอเมริกาหลังจากที่ครอบครัวเขาล้มเหลวด้านการทำฟาร์ม วัยเด็กของเอเลียสต้องเปลี่ยนที่อยู่บ่อยๆ ทั่วประเทศอเมริกาเนื่องจากพ่อของเขาได้พยายามลงทุนกับธุรกิจใหม่ๆ เรื่อยๆ เเละเมื่อถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เอเลียสก็เเต่งงานกับ ฟลอร่า คอลล์ (Flora Call) ที่ชิคาโกและให้กำเนิดวอล์ทในวันที่ 5 ธันวาคม ปี 1901 วอล์ทยังมีพี่ชายอีก 3 คนคือ เฮอร์เบิร์ต เรย์มอนด์ และ รอย และน้องสาวอีก 1 คนชื่อ รุธ
เมื่อถึงปี 1906 ครอบครัวดีสนีย์ย้ายจากชิคาโกไปทำฟาร์มที่รัฐมิสซูรีเนื่องจากหวั่นกลัวปัญหาอาชญากรรมในชิคาโกที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ช่วงที่อยู่ที่ฟาร์มนั้นนับเป็นช่วงเวลาแสนสุขของวอล์ททีเดียว เนื่องจากทั้งวอล์ทและรุธยังเล็กเกินกว่าที่จะช่วยเหลืองานในฟาร์มได้ ฉะนั้นพวกเขาก็เลยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่น ทั้งการว่ายน้ำ เล่นกับสัตว์ในฟาร์ม หรือปีนไต่ต้นไม้เล่น ช่วงเวลานั้นเองที่วอล์ทเริ่มหลงใหลในการวาดภาพ เนื่องจากหมอเชอร์วูดซึ่งเป็นเพื่อนบ้านคนหนึ่งได้จ้างให้วอล์ทวาดภาพม้าของเขาให้อยู่เสมอๆ นอกจากนี้วอล์ทยังเป็นเด็กที่ชื่นชอบรถไฟอีกด้วย เขามักจะเอาหูแนบกับทางรถไฟเพื่อรอฟังเสียงรถไฟเคลื่อนมา และพยายามมองหาลุงของเขาที่เป็นคนขับรถไฟไปด้วย
ปีค.ศ. 1909 พ่อของวอล์ทเริ่มป่วยเป็นโรคไทฟอยด์จนทำงานในฟาร์มไม่ไหว ครอบครัวต้องจำใจขายฟาร์มทิ้งแล้วย้ายไปเช่าบ้านอยู่แทน วอล์ทเสียใจกับการย้ายที่อยู่ในครั้งนั้นมากจนถึงกับร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นสัตว์เลี้ยงในฟาร์มถูกทยอยขายออกไปเรื่อยๆ
ที่บ้านเช่าในเมืองแคนซัส รัฐมิสซูรี วอล์ท และรอยได้ช่วยพ่อของเขาส่งหนังสือพิมพ์ โดยต้องตื่นขึ้นมาส่งตั้งแต่ตีสามทุกวัน ทำให้วอล์ทไปหลับในห้องเรียนบ้าง หรือบางครั้งก็ไปนั่งวาดรูปในเวลาเรียนบ้าง ช่วงที่เรียนอยู่ วอล์ททำหน้าที่เป็นผู้วาดการ์ตูนลงคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ประจำโรงเรียน การ์ตูนของเขาส่วนใหญ่จะเน้นเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อมาเมื่ออายุ 16 วอล์ทก็ออกจากโรงเรียนและไปสมัครเป็นทหารประจำหน่วยรถพยาบาลโดยแอบโกงอายุตัวเองไปหนึ่งปีเพื่อให้อายุถึงเกณฑ์ซึ่งก็คือ 17 ปีแต่น่าเสียดายที่เมื่อเขาผ่านการฝึกฝนร่างกายและพร้อมเข้าประจำการที่ฝรั่งเศส สงครามก็จบลงเสียแล้ว เขาได้แต่ทำงานไปวันๆ และฆ่าเวลาโดยการวาดรูปเล่น ตอนนั้นเองที่วอล์ทเริ่มสูบบุหรี่จนเป็นนิสัยติดตัวเขาไปตลอด
เมื่อถึงปี 1906 ครอบครัวดีสนีย์ย้ายจากชิคาโกไปทำฟาร์มที่รัฐมิสซูรีเนื่องจากหวั่นกลัวปัญหาอาชญากรรมในชิคาโกที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ช่วงที่อยู่ที่ฟาร์มนั้นนับเป็นช่วงเวลาแสนสุขของวอล์ททีเดียว เนื่องจากทั้งวอล์ทและรุธยังเล็กเกินกว่าที่จะช่วยเหลืองานในฟาร์มได้ ฉะนั้นพวกเขาก็เลยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่น ทั้งการว่ายน้ำ เล่นกับสัตว์ในฟาร์ม หรือปีนไต่ต้นไม้เล่น ช่วงเวลานั้นเองที่วอล์ทเริ่มหลงใหลในการวาดภาพ เนื่องจากหมอเชอร์วูดซึ่งเป็นเพื่อนบ้านคนหนึ่งได้จ้างให้วอล์ทวาดภาพม้าของเขาให้อยู่เสมอๆ นอกจากนี้วอล์ทยังเป็นเด็กที่ชื่นชอบรถไฟอีกด้วย เขามักจะเอาหูแนบกับทางรถไฟเพื่อรอฟังเสียงรถไฟเคลื่อนมา และพยายามมองหาลุงของเขาที่เป็นคนขับรถไฟไปด้วย
ปีค.ศ. 1909 พ่อของวอล์ทเริ่มป่วยเป็นโรคไทฟอยด์จนทำงานในฟาร์มไม่ไหว ครอบครัวต้องจำใจขายฟาร์มทิ้งแล้วย้ายไปเช่าบ้านอยู่แทน วอล์ทเสียใจกับการย้ายที่อยู่ในครั้งนั้นมากจนถึงกับร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นสัตว์เลี้ยงในฟาร์มถูกทยอยขายออกไปเรื่อยๆ
ที่บ้านเช่าในเมืองแคนซัส รัฐมิสซูรี วอล์ท และรอยได้ช่วยพ่อของเขาส่งหนังสือพิมพ์ โดยต้องตื่นขึ้นมาส่งตั้งแต่ตีสามทุกวัน ทำให้วอล์ทไปหลับในห้องเรียนบ้าง หรือบางครั้งก็ไปนั่งวาดรูปในเวลาเรียนบ้าง ช่วงที่เรียนอยู่ วอล์ททำหน้าที่เป็นผู้วาดการ์ตูนลงคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ประจำโรงเรียน การ์ตูนของเขาส่วนใหญ่จะเน้นเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อมาเมื่ออายุ 16 วอล์ทก็ออกจากโรงเรียนและไปสมัครเป็นทหารประจำหน่วยรถพยาบาลโดยแอบโกงอายุตัวเองไปหนึ่งปีเพื่อให้อายุถึงเกณฑ์ซึ่งก็คือ 17 ปีแต่น่าเสียดายที่เมื่อเขาผ่านการฝึกฝนร่างกายและพร้อมเข้าประจำการที่ฝรั่งเศส สงครามก็จบลงเสียแล้ว เขาได้แต่ทำงานไปวันๆ และฆ่าเวลาโดยการวาดรูปเล่น ตอนนั้นเองที่วอล์ทเริ่มสูบบุหรี่จนเป็นนิสัยติดตัวเขาไปตลอด
เมื่อถึงปี 1919 วอล์ทก็ปลดประจำการและกลับมาที่สหรัฐโดยมีเป้าหมายชีวิตแล้วว่าเขาอยากเอาดีด้านศิลปะ แต่เมื่อพ่อของเขาไม่สนับสนุนความฝันนั้น วอล์ทก็ออกจากบ้านมาเพื่อสานต่ออุดมการณ์ของตน เขาได้พบกับ อับบ์ ไอเวิร์คส (Ub Iwerks) และร่วมมือกันประกอบธุกิจส่วนตัวในปี 1920 แต่ไม่มีใครอยากจ้างคนที่อ่อนประสบการณ์อย่างทั้งคู่นี้ ไม่นานนักบริษัทของพวกเขาจึงปิดตัวลง วอล์ท และไอเวิร์คสก็ไปทำงานที่ Kansas City Film Ad.
หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำงานอีกสองปี วอล์ทก็พยายามตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาในชื่อ Laugh-O-Gram Film, Inc. ซึ่งเน้นการผลิตการ์ตูนสั้นอิงนิยายสำหรับเด็กขึ้นมาร่วมกับไอเวิร์คส สหายของเขา แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จนัก หลังจากการสร้างการ์ตูนเรื่อง Alices Wonderland ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ บริษัทก็เข้าสู่ภาวะล้มละลาย วอล์ทขายกล้องไปเพื่อหาเงินให้มากพอที่จะเดินทางไปยังศูนย์กลางอุตสาหกรรมบันเทิงอย่างฮอลลิวูด รัฐแคลิฟอร์เนีย และเอางาน Alices Wonderland ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ไปด้วย
ตอนที่ไปถึงลอสแองเจลิส วอล์ทมีเพียงงานที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ชิ้นนั้นและเงินอีก 40 เหรียญ เขาตั้งใจจะทิ้งงานแอนิเมชั่นไปแล้วหันมาเป็นผู้กำกับหนังแทน แต่ก็ไม่มีบริษัทไหนรับเขาเข้าทำงาน เขาจึงกลับมาสร้างอนิเมชันต่อ วอล์ทลองส่งงาน Alices Wonderland ไปให้มาร์กาเร็ต วิงคเลอร์ ที่นิวยอร์ค และได้รับจดหมายตอบกลับทันทีว่าเธอต้องการให้เขาสร้างสรรค์ผลงานให้อีกโดยยึดเอาเนื้อเรื่อง Alices Wonderland เป็นหลัก
เมื่อได้งานแล้ว วอล์ทจึงต้องการทุนทรัพย์ในการสร้างอนิเมชั่น เขานึกถึงรอยพี่ชายของตนขึ้นมาทันที รอยกำลังป่วยเป็นวัณโรคอยู่ที่โรงพยาบาลทหาร และเมื่อรอยทราบความต้องการของน้องชายก็ยินดีให้ความร่วมมือทันที เขาออกจากโรงพยาบาลมาช่วยวอล์ทสร้างผลงานและไม่ได้แสดงอาการป่วยอีกเลยนับจากนั้น นี่นับเป็นจุดเริ่มต้นของ Disney Brothers Studio ของสองพี่น้องดิสนีย์ ปี 1925
วอล์ทจ้างคนมาทำงานด้านแผ่นฟิล์มชื่อ ลิลเลียน บาวน์ด (Lillian Bounds) ต่อมาทั้งสองสนิทสนมกันมากขึ้นและแต่งงานกันในที่สุด
ปี 1927 วอล์ทได้เริ่มสร้างซีรียส์ใหม่ Oswald the Lucky Rabbit และได้ผลตอบรับที่ดีจากคนทั่วไป แต่กลายเป็นว่าลิขสิทธิ์ผลงานนี้ไม่ได้เป็นของเขา แต่กลับตกเป็นของบริษัทยูนิเวอร์แซล พิกเจอร์ ของมาร์การเร็ต วิงคเลอร์ และสามี ชาร์ลส บี มินท์ซ และทีมงานส่วนใหญ่ของวอล์ทนอกจากไอเวิร์คสแล้วต่างก็เซ็นสัญญาทำงานให้กับยูนิเวอร์แซลอีกด้วย ซึ่งภายหลังต้องใช้เวลากว่า 74 ปีที่สิทธิ์ของ Oswald the Lucky Rabbit จะกลับมาเป็นของดิสนีย์อีกครั้งในปี 2006
หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำงานอีกสองปี วอล์ทก็พยายามตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาในชื่อ Laugh-O-Gram Film, Inc. ซึ่งเน้นการผลิตการ์ตูนสั้นอิงนิยายสำหรับเด็กขึ้นมาร่วมกับไอเวิร์คส สหายของเขา แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จนัก หลังจากการสร้างการ์ตูนเรื่อง Alices Wonderland ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ บริษัทก็เข้าสู่ภาวะล้มละลาย วอล์ทขายกล้องไปเพื่อหาเงินให้มากพอที่จะเดินทางไปยังศูนย์กลางอุตสาหกรรมบันเทิงอย่างฮอลลิวูด รัฐแคลิฟอร์เนีย และเอางาน Alices Wonderland ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ไปด้วย
ตอนที่ไปถึงลอสแองเจลิส วอล์ทมีเพียงงานที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ชิ้นนั้นและเงินอีก 40 เหรียญ เขาตั้งใจจะทิ้งงานแอนิเมชั่นไปแล้วหันมาเป็นผู้กำกับหนังแทน แต่ก็ไม่มีบริษัทไหนรับเขาเข้าทำงาน เขาจึงกลับมาสร้างอนิเมชันต่อ วอล์ทลองส่งงาน Alices Wonderland ไปให้มาร์กาเร็ต วิงคเลอร์ ที่นิวยอร์ค และได้รับจดหมายตอบกลับทันทีว่าเธอต้องการให้เขาสร้างสรรค์ผลงานให้อีกโดยยึดเอาเนื้อเรื่อง Alices Wonderland เป็นหลัก
เมื่อได้งานแล้ว วอล์ทจึงต้องการทุนทรัพย์ในการสร้างอนิเมชั่น เขานึกถึงรอยพี่ชายของตนขึ้นมาทันที รอยกำลังป่วยเป็นวัณโรคอยู่ที่โรงพยาบาลทหาร และเมื่อรอยทราบความต้องการของน้องชายก็ยินดีให้ความร่วมมือทันที เขาออกจากโรงพยาบาลมาช่วยวอล์ทสร้างผลงานและไม่ได้แสดงอาการป่วยอีกเลยนับจากนั้น นี่นับเป็นจุดเริ่มต้นของ Disney Brothers Studio ของสองพี่น้องดิสนีย์ ปี 1925
วอล์ทจ้างคนมาทำงานด้านแผ่นฟิล์มชื่อ ลิลเลียน บาวน์ด (Lillian Bounds) ต่อมาทั้งสองสนิทสนมกันมากขึ้นและแต่งงานกันในที่สุด
ปี 1927 วอล์ทได้เริ่มสร้างซีรียส์ใหม่ Oswald the Lucky Rabbit และได้ผลตอบรับที่ดีจากคนทั่วไป แต่กลายเป็นว่าลิขสิทธิ์ผลงานนี้ไม่ได้เป็นของเขา แต่กลับตกเป็นของบริษัทยูนิเวอร์แซล พิกเจอร์ ของมาร์การเร็ต วิงคเลอร์ และสามี ชาร์ลส บี มินท์ซ และทีมงานส่วนใหญ่ของวอล์ทนอกจากไอเวิร์คสแล้วต่างก็เซ็นสัญญาทำงานให้กับยูนิเวอร์แซลอีกด้วย ซึ่งภายหลังต้องใช้เวลากว่า 74 ปีที่สิทธิ์ของ Oswald the Lucky Rabbit จะกลับมาเป็นของดิสนีย์อีกครั้งในปี 2006